การพระราชกุศลฉลองไตรปี
การฉลองไตรนี้
ไม่ปรากฏว่าเป็นธรรมเนียมมีมาแต่ครั้งกรุงเก่าหรือประการใด
แต่เป็นธรรมเนียมมีมาในกรุงรัตนโกสินทรนี้แต่เดิม ไม่นับว่าเป็นพระราชพิธี
เป็นการพระราชกุศลประจำปีซึ่งนำมากล่าวในที่นี้ด้วย
เพราะเหตุว่าการฉลองไตรนี้เนื่องอยู่ในพระราชพิธีจองเปรียง และลอยพระประทีป
ความประสงค์ของการฉลองไตรนั้น
คือว่าพระสงฆ์ซึ่งได้รับยศเป็นราชาคณะฐานานุกรมเปรียญพิธีธรรมบางองค์
หรือคิลานภัตร พระทรงรู้จัก พระช่าง สามเณรเปรียญ
และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงผนวชเป็นภิกษุก็ดี สามเณรก็ดี เกินกว่าพรรษาหนึ่งขึ้นไป
ท่านทั้งปวงนี้ได้พระราชทานไตรจีวรสำรับหนึ่งในเวลาเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานพระกฐินทุกปี
เมื่อครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เจ้าจอมข้างในแต่งตัวตักบาตรฉลองไตรนี้
ห่อผ้าห่มนอนตาดและเยียรบับแพรเขียนทองหรือแต่งตัวต่างๆ ไปอีกก็มีเป็นคราวๆ แต่ไม่เป็นการเสมอตลอดไป
ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ แรมค่ำ ๑ เวลากลางคืนมีทรงธรรม
พระราชาคณะผู้ใหญ่ถวายเทศนากฐินทาน
อนุโมทนาการพระราชกุศลที่ได้เสด็จไปพระราชทานพระกฐินกัณฑ์ ๑ จีวรทาน
อนุโมทนาพระราชกุศลที่ได้พระราชทานไตรปีแก่พระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงกัณฑ์ ๑ ปฏิสังขรณทาน
อนุโมทนาที่ได้ทรงปฏิสังขรณ์พระอารามทั้งปวงกัณฑ์ ๑ เครื่องกัณฑ์เทศน์ทั้ง ๓ กัณฑ์
นับในจำนวนเทศนา ๓๐ กัณฑ์ ซึ่งเป็นจำนวนการพระราชกุศลประจำปี
คือมีเครื่องกัณฑ์คล้ายๆ บริขารพระกฐิน คือมีตะบะยาเป็นต้น มีเงินติดเทียน ๑๐
ตำลึง และขนมต่างๆ ที่เกณฑ์พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในเป็นเจ้าของกัณฑ์
การฉลองไตรนี้
ในรัชกาลก่อนๆ ก็สวดมนต์เลี้ยงพระและเทศนาที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยตลอดมา
ครั้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงได้ย้ายสวดมนต์เลี้ยงพระไปพระที่นั่งฝ่ายบุรพทิศ
แต่ยังคงมาทรงธรรมที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
เพราะเป็นทางที่จะได้เสด็จลงทรงลอยพระประทีปในเวลาเมื่อทรงธรรมแล้ว
ในปัจจุบันนี้ทรงพระราชดำริเห็นว่าพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นที่กว้างขวาง
ใหญ่กว่าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
จึงโปรดให้การฉลองไตรทั้งปวงคงอยู่เหมือนเมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
คำตักเตือนในการฉลองไตรนี้
เมื่อวันขึ้น ๑๓ ค่ำพระสงฆ์ที่สวดมนต์ถึง ๕๐๐ เศษหรือ ๖๐๐ รูป
เทียนซึ่งถวายพระสงฆ์ในเวลาสวดมนต์จบนั้นมาก มหาดเล็กควรจะต้องคอยรับ
และเวลาที่พระเจ้าลูกเธอจะไปถวายควรต้องคอยยกตาม อย่าให้ต้องรั้งรอกันเนิ่นช้าไป
อนึ่ง
จะต้องเตือนอย่างจืดๆ อีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเวลาพระสงฆ์ฉันแล้วจำจะต้องยถา
จำจะต้องทรงพระเต้าษิโณทก
ไม่มีเหตุการณ์อันใดที่จะยกเว้นพระเต้าษิโณทกได้เลยในเวลาพระสงฆ์ฉันแล้ว
ซึ่งมหาดเล็กบางคนทำอึกๆ อักๆ ไม่แน่ใจว่าจะทรงหรือไม่ทรง
หรือทอดธุระเสียว่าไม่ทรงนั้นเป็นการเซอะแท้ ไม่มีข้อทุ่มเถียงอย่างไรเลย
อนึ่ง
ในเวลาเมื่อสวดมนต์จบและเวลาเลี้ยงพระแล้ว
มีเสด็จออกขุนนางข้าราชการเฝ้าทูลใบบอกและข้อราชการต่างๆ ได้เหมือนออกขุนนางตามเคย
อนึ่ง
ในเวลาค่ำที่ทรงธรรมนั้น พอเสด็จออกมหาดเล็กก็ต้องนำเทียนชนวนเข้าไปตั้ง
ทรงจุดเครื่องบูชาเทวดาแล้วต้องคอยรับเทียนที่บูชาพระมหาเศวตฉัตร
ซึ่งจะปล่อยให้ทรงจุดทรงวางในตะบะอย่างเช่นมหาดเล็กเคยทำมาบ่อยๆ นั้นไม่ถูก
เมื่อรับเทียนนั้นไปแล้วเคยไปติดที่บัวหลังพระมหาเศวตฉัตร
ซึ่งไม่เห็นมหาดเล็กไปติดมาช้านานแล้ว จะไม่มีใครรู้หรือประการใดสงสัยอยู่
เมื่อทรงจุดเทียนเทวดาแล้วทรงจุดเทียนดูหนังสือ
ไม่ต้องรอคอยจนทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการแล้วจึงยกไปให้เป็นการช้ายืดยาว
พอทรงจุดแล้วก็ยกไป
ถ้าธรรมาสน์กว้างตั้งบนธรรมาสน์ทั้งเชิง ถ้าธรรมาสน์แคบมีจงกล
ถอนเทียนออกปักที่จงกล ถ้าธรรมาสน์แคบมีม้าตั้งข้างๆ ให้ตั้งบนม้า
การที่ถอนเทียนออกติดกับกงธรรมาสน์นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรด
ได้กริ้วมาหลายครั้งแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ก็ดูมีรายๆ อยู่บ้างไม่สู้หนานัก ขอให้เข้าใจว่าไม่โปรดเหมือนกัน
ที่มา http://vajirayana.org/